วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ใส่รหัสใน MS Word ไม่ต้องกลัวข้อมูลรั่ว

ใส่รหัสใน MS Word ไม่ต้องกลัวข้อมูลรั่ว


1.เริ่มต้นเมื่อคุณจัดเก็บข้อมูลที่ต้องการลงไปใน MS Word แล้ว ให้คลิกไปที่ Save


2.ใส่ชื่อไฟล์ จากนั้นคลิกที่ Tools ด้านล่างของหน้าต่าง แล้วเลือกที่ General Options
3.ในหัวข้อ General Options ให้ใส่พาสเวิร์ดที่ใช้ในการเข้ารหัสลงไปในหัวข้อ File encryption options for this document แล้วคลิก Ok


4.จากนั้นระบบจะให้ยืนยันพาสเวิร์ด เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ในหน้าต่าง Confirm Password แล้วคลิก Ok

5.เมื่อเราเปิดไฟล์ ก็จะมีหน้าต่างให้ใส่พาสเวิร์ดขึ้นมา ซึ่งคนอื่น ที่เราจะไม่ได้อนุญาตหรือไม่ทราบพาสเวิร์ด ก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เลย
วิธีการแบบนี้เอามาประยุกต์ใช้กับระบบเก็บพาสเวิร์ดได้เหมือนกัน กรณีที่เราไม่ได้ใช้โปรแกรมสำหรับบันทึกรหัส เช่น KeePass หรืออื่นๆ ใช้ Word แล้วเข้ารหัสไว้แค่ตัวเดียว เวลาจะใช้ก็เปิดขึ้นมาดู จะเปลี่ยนหรืออัพเดต ก็เซฟเพิ่มเข้าไป เท่านี้ก็มีที่เก็บพาสเวิร์ดได้อย่างปลอดภัยแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

7 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง

7 วิธีใช้คอมพิวเตอร์ แบบทำร้ายตัวเอง


วิธีที่ 1 ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ จอ
เพราะ ระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างดวงตาของเรากับจอคอมพิวเตอร์อยู่ที่ 20-24 นิ้ว ดังนั้นถ้าเรายื่นหน้าเข้าไปให้ใกล้กว่านั้น ดวงตาเราก็จะได้รับทั้งรังสีปริมาณมาก และได้เพ่งจอใกล้ๆ ด้วย ผลที่จะได้ระยะสั้นคือปวดหัว ปวดตา ส่วนระยะยาวคืออาจจะเป็นต้อหินและตาบอดได้ในที่สุดค่ะ

วิธีที่ 2 ตั้งจอให้แสงสะท้อนเข้าตา
พยายามหันหน้าจอให้มีแสงจ้าๆ สะท้อนเข้าตาเรา เช่น วางจอไว้ใกล้หน้าต่างตอนกลางวัน หรือตั้งโคมไฟไว้ใกล้ๆ หน้าจอ เพราะแสงที่สะท้อนออกมาจากจอคอมพิวเตอร์สามารถทำให้ดวงตาของเราเมื่อยล้าได้ ง่ายๆ สมใจค่ะ

วิธีที่ 3 จ้องจอนานๆ
พยายาม จ้องจอคอมพิวเตอร์ให้มากกว่าครั้งละ 30 นาที ถ้าเริ่มรู้สึกปวดตาเมื่อไหร่แสดงว่าใช้ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึงดวงตาเริ่มล้าแล้ว ทำบ่อยๆ คุณภาพตาจะแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่กระพริบตาเลยจะยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาแห้ง แล้วก็แสบตาในที่สุด ส่วนแผนกระจกกรองแสงถ้ามีก็ถอดออกเสีย เพราะจะเป็นการกรองรังสีจากจอ ดวงตาจะปลอดภัยเกินไปค่ะ

วิธีที่ 4 นั่งให้ผิดท่า
ชุดเก้าอี้และโต๊ะที่ใช้ถ้าหาแบบที่ต่างระดับกันได้มากๆ จะทำให้ท่านั่งผิดสุขลักษณะ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงต่อกล้ามเนื้อกับกระดูกที่แขน ไหล่ หลัง และคอ และเราสามารถเพิ่มระดับความอักเสบของกล้ามเนื้อให้มากขึ้นด้วยการนั่งที่ผิด ท่า นั่นก็คือเวลาใช้คอมพิวเตอร์อย่านั่งหลังตรง ให้นั่งค้อมไปข้างหน้าบ้าง แอ่นไปข้างหลังบ้าง

วิธีที่ 5 วางคีย์บอร์ดให้ผิดทาง
เวลาพิมพ์งานลองหามุมวางคีย์บอร์ดแล้วทำให้ต้องวางมือยากๆ ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น การพิมพ์ก็ให้กดแป้นพิมพ์ควรกดแป้นพิมพ์แรงๆ เพราะเมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ จะเมื่อยและเจ็บนิ้ว และยังของแถมคือคีย์บอร์ดจะเจ๊งเร็วขึ้น เก้าอี้ที่ใช้ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีที่ให้วางแขน เพื่อที่แขนจะได้เกร็ง เมื่อเกร็งมากๆ ก็จะเมื่อยแขน ปวดไหล่ ปวดนิ้ว ลามไปถึงคอและหลังได้ด้วย

วิธีที่ 6 กินขนมหน้าคอมฯ
ให้หาขนมมากินขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย เพราะมีโอกาสที่เศษขนมหรือเกล็ดน้ำตาลจะหล่นลงไปในแป้นคีย์บอร์ด แล้วกลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ซึ่งถ้าเราใช้คีย์บอร์ดสลับกับกินขนมครั้งแบบนี้อีก เราอาจจะโชคดีได้ท้องเสีย เพราะนิ้วของเราย่ำยีอยู่กับแหล่งเพาะเชื้อตลอดเวลานั่นเอง

วิธีที่ 7 แช่แข็งตัวเองอยู่หน้าจอ
พยายามหาเรื่องอะไรมาทำให้ตัวเองเพลินๆ จะได้นั่งอยู่หน้าเครื่องนานๆ จะได้ลืมให้หมดว่าการที่ไม่เปลี่ยนอิริยาบถนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เครียดจนเมื่อยจนปวด จะได้ลืมว่าควรกินน้ำชั่วโมงละ 1 แก้ว จะได้ลืมว่าถ้าปวดฉี่แล้วไม่ยอมไปห้องน้ำจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

จับภาพหน้าจอ ScreenShot

จับภาพหน้าจอ ScreenShot บน Windows สำหรับคีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม PrintScreen
                 ใครที่ใช้คอมพิวเตอร์พีซี คียบอร์ดแบบปกติ เวลาที่จะจับภาพหน้าจอง่ายแค่กดปุ่ม PrintScreen แล้วกด Ctrl + V วางในแอปพิมพ์งาน หรือโปรแกรมแต่งภาพก็ได้ หรือไม่ก็ กดปุ่ม Windows + PrintScreen ก็จะบันทึกภาพหน้าจอลงบน Screenshot ได้เลย แต่ถ้าเป็นคีย์บอร์ดขนาดเล็กหรือ Notebook ที่ไม่มีปุ่ม PrintScreen จะทำอย่างไรดี ตอนนี้มีคำตอบแล้วยังจำโปรแกรมจับภาพหน้าจอ Snipping Tool บน Windows ได้มั้ย แอปนี้ละมีอยู่แล้วใน Windows Vista , 7 , 8 และ Windows 10 ก็มีด้วย คุณสามารถที่จะจับภาพหน้าจอบางส่วน หรือทั้งหมดได้เลย หาง่ายสุดคือ กดปุ่ม Windows + Q เพื่อเข้า Search ค้นหา แล้วพิมพ์ Snipping Tool ก็เจอแอปนั้นเลยวิธีใช้คือ คลิก New เพื่อเริ่มจับภาพหน้าจอทันที แต่ถ้าเลือกจับภาพหน้าจอบางส่วน ให้คลิกที่ลูกศรลงข้างเมนู New แล้วจะพบเมนูต่อไปนี้
-free-form snip กำหนดการจับหน้าจอแบบอิสระ คลิกค้างแล้วปล่อยคลุมในสิ่งที่ต้องการจับภาพ
-Rectangular Snip กำหนดขอบเขตการจับหน้าจอเป็นสี่เหลี่ยม ลากเม้าส์ครอบพื้นที่ทีต้องการจับภาพหน้าจอ หากคุณใช้เม้าส์บนคอมพิวเตอร์ก็ลากเม้าส์กำหนดขอบเขต หรือใช้นิ้ว ปากกาบนแท็ปเล็ตก็ได้เช่นกัน (แนะนำเลือกตัวนี้)
-Window Snip เลือกกำหนดจับภาพหน้าจอหน้าต่างบน Windows เช่นหน้าจอบราวเซอร์หรือ dialog box
-Full-screen Snip จับภาพทั้งหมดของหน้าจอ

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ใช้งานGoogleEarthผ่านVRได้แล้ว

เปิดใช้งาน Google Earth ผ่าน VR ได้แล้ว


Google Earth ทำเซอร์ไพรซ์ให้กับผู้ใช้สามารถชมภาพในมุมต่างๆ ผ่านระบบ VR ได้แล้ว ด้วยการใช้ HTC Vive ในการค้นหาหรือชมเมืองต่างๆ ได้จากบ้านในมุมมองที่เสมือนจริง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องในฝันของหลายๆ คนที่อยากจะเดินทางไปในที่ต่างๆ บนโลก แม้จะอยู่ที่บ้านก็ตาม

โดยในครั้งนี้ Google ได้นำเอาเทคโนโลยี Google Earth VR มาใช้ โดยสามารถดาวน์โหลดบรรดาเมืองต่างๆ 175 เมืองมาอยู่ในรูปแบบของ 3 มิติ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยวไปยังมุมต่างๆ ของโลกผ่านทางการจำลองเสมือนจริง โดยโครงการนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากทีมที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของ Google Map และ Google Earth ในการสร้างสรรเวอร์ชั่นที่เป็น Street View ที่เปิดให้ใช้งานกันไปในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ Google ยังได้นำเสนอแพลตฟอร์ม Cardboard และ Daydream ให้กับการใช้งาน
นอกจากนี้ในกรณีที่คุณไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการเดินทางหรือมองหาที่เมืองใด ก็สามารถมองโลกในมุมมองของยานอวกาศ จากนั้นหมุนและเลือกขยายไปยังจุดที่ต้องการได้ทันที หรือถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปที่ไหน Google ยังมีเป็นภาพยนตร์ในการพาชมทัวร์สถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แม่น้ำอเมซอน แกรนด์แคนยอนหรือเทือกเขาแอลป์ หรือที่อื่นๆ

โดยแอพฯ นี้ยังใช้การผสมผสานภาพถ่ายดาวเทียมและภาพทางอากาศ เหมือนกับภาพของ Street View ที่เป็นต้นแบบ ดังนั้นผู้ใช้เลือกชี้ไปยังพื้นที่ที่ต้องการ และซูมเข้าไปยังจุดนั้นได้ทันที เพื่อให้เป็นการใช้ที่ง่ายมากยิ่งขึ้น ก็เรียกว่าต่อไป ในโลกที่มีการใช้ VR มากขึ้น น่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเดินทางหรือค้นหาสถานที่ต่างๆ ในการท่องเที่ยวได้ทั่วโลกได้ง่ายกว่าเดิม

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ซอฟต์แวร์ดีๆ ที่แจกให้ใช้กันฟรีๆ

ซอฟต์แวร์ดีๆ ที่แจกให้ใช้กันฟรีๆ

1.Ability Office : ซอฟต์แวร์ชุดสำนักงาน
เริ่มต้นกับซอฟต์แวร์ชุดสำนักงานหรือที่เรามักจะเรียกติดปากกันว่า “อ๊อฟฟิต” หล่ะครับ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงซอฟต์แวร์ชุดสำนักงานแล้วนั้นเรามักจะคิดถึงชื่อของ Microsoft Office เป็นชื่อแรกๆ ตลอดเพราะนอกเหนือจากจะมีใช้กันมาอย่างยาวนานแล้ว Microsoft Office เองก็พัฒนาตัวเองมาอย่างต่อเนื่องทำให้สำนักงานหลายๆ ที่ยอมเสียค่าลิขสิทธิ์ซื้อไปใช้งานกันครับ
แต่เดี่ยวก่อนครับถ้าคุณอยากประหยัดเงินในขณะเดียวกันก็ยังสามารถที่จะใช้โปรแกรมที่สามารถเปิดไฟล์จาก Microsoft Office ไปได้ด้วยหล่ะก็เราขอแนะนำ Ability Office ถึงแม้ตัวเต็มจะมีราคาอยู่ที่ $39.99 หรือประมาณ 1,415 บาท แต่ตอนนี้นั้นแจกฟรีครับ โดยชุดฟรีที่ท่านจะได้มานั้นจะประกอบไปด้วย Word Processor, Spreadsheet และ Presentation ซึ่งถือว่าเป็นงานหลักๆ ที่ใช้กันครับ ที่สำคัญไม่มีวันหมดอายุครับ
ข้อดี
-ทั้งชุด(แบบเสียเงิน) ประกอบไปด้วย Word Processor, Spreadsheet, Presentation, Database และ Photopaint
-สามารถที่จะบันทึกไฟล์ไปเป็น PDF ได้
-รองรับการทำอัลบั้มไฟล์ภาพสำหรับใช้งานในชุดโปรแกรม
-สามารถบันทึกไฟล์เป็นนามสกุล Ability หรือเป็นของ Microsoft Office ก็ได้โดยส่วนของการบันทึกไฟล์ MS Office นั้นจะรองรับถึงไฟล์ MS Office รุ่น 2013
-มีวางจำหน่ายทั้งชุดที่เป็นสำหรับครัวเรือน(ใช้ได้ 1 เครื่อง) และแบบสำนักงาน(มากกว่า 2 เครื่องขึ้นไปโดยต้องติดต่อทาง ASI ผู้ผลิตเอาเอง)
-สามารถเปิดไฟล์ของ MS Office ที่ไม่เกินรุ่น 2013 มาแก้ไขและบันทึกต่อไป
-ลักษณะหน้าตาโปรแกรมเหมือนกับของ MS Office ทำให้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่นานมากนักในการใช้งาน
ข้อเสีย
-ฟีเจอร์เด่นๆ แถบจะเหมือนกับ Microsoft Office จนบางทีแล้วเพิ่มเงินเพื่อซื้อ MS Office ไปเลยดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
-ไม่มีการอัพเดทหลังจากที่เวอร์ชันล่าสุดเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2012
-เมื่อเปิดไฟล์จาก MS Office(เช่นไฟล์ทดลองที่เป็น Word) มีบางจุดที่เกิดความผิดพลาดเมื่อเทียบจากต้นฉบับ(แต่ก็ถือว่าน้อยมากกว่าชุด Office แจกฟรีชุดอื่นๆ
-ตัวแจกฟรีไม่สามารถอัพเดทเวอร์ชันใหม่ได้หากมีออกมา(แต่ตัวที่แจกนี้นั้นก็เป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้วครับ
ของที่ที่ใช้ได้ยาวนานแบบนี้รีบไปโหลดเลยครับที่ Ability Office หมดช่วงแจกฟรีสิ้นเดือนนี้

2.Adept PDF Converter Kit : โปรแกรมแปลงไฟล์ PDF สุดเทพ
มาต่อกันที่โปรแกรมที่อาจจะยังเกี่ยวข้องกับงานสำนักงานอยู่ หรือไม่อย่างน้อยน้องๆ นักเรียนนักศึกษาก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรม Adept PDF Converter Kit โปรแกรมแปลงไฟล์ PDF ให้ไปเป็นไฟล์ต่างๆ อย่าง Microsoft Word, Excel, SWF, Images, HTML และ Text แบบว่าโปรแกรมเดียวอยู่หมัดครับ
Adept PDF Converter Kit นั้นมีราคาเต็มๆ อยู่ที่ $49.95 หรือประมาณ 1,770 บาทครับ แต่งานนี้คงต้องบอกเลยครับคุ้มจริงๆ เพราะการใช้งานนั้นเรียกได้ว่าครอบคลุม ครบถ้วน สามารถแปลงไฟล์ PDF เป็นไฟล์อื่นๆ ได้ถูกต้องเกินกว่า 95%(จากที่ได้ทดสอบ) เอาเป็นว่าใครที่ต้องการเปลี่ยนไฟล์ PDF ไปเป็นไฟล์อื่นนั้น ตอนนี้โอกาสฟรีๆ ของท่านมาถึงแล้วครับ
ข้อดี
-รองรับแปลงไฟล์ได้หลากหลาย
-สามารถแปลงได้ถูกต้องเนื้อหาครบมากกว่า 95%(จากการทดสอบ)
ข้อเสีย
-หากเทียบกับโปรแกรมแนวเดียวกันแล้วพบว่าใช้เวลาในการแปลงค่อนข้างจะนานกว่า(แต่ความถูกต้องก็มากกว่า)
-ตัวแจกฟรีไม่สามารถอัพเดทเวอร์ชันใหม่ได้หากมีออกมา

3.McAfee Internet Security 2017 : โปรแกรมป้องกันไวรัสชื่อดัง
ปิดท้ายด้วยโปรแกรมป้องกันไวรัสชื่อดังอย่าง McAfee Internet Security 2017 ที่เชื่อว่าชื่อนี้นั้นทุกๆ ท่านต้องเคยได้ยินกันมาแล้วอย่างแน่นอนครับ ตรงนี้คงไม่มีอะไรต้องพูดกันมากนักนอกเหนือไปจากรีบให้ด่วนที่สุดเพราะตอนนี้แจกฟรีแต่ไม้แน่ใจว่าจะหมดวันแจกฟรีนี้เมื่อไร(เนื่องจากบนเว็บนั้นระบุเอาไว้ว่าให้ฟรีเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นครับ)
ข้อดี
-เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ไม่ค่อยเปลืองทรัพยากรของเครื่องเท่าไร ทำให้น่าจะเหมาะกับเครื่องทุกๆ สเปค
-มีการอัพเดทใหม่อยู่ตลอดเวลา(จนบางทีบางท่านอาจจะคิดว่านี่เป็นข้อเสีย แต่ต้องไม่ลืมว่าอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสบ่อยๆ เครื่องเราก็ปลอดภัยนะครับ)
-สามารถใช้งานได้ทุกฟีเจอร์ของตัว McAfee Internet Security 2017 รวมไปถึง Firewall(ซึ่งตัวแจกฟรีที่หน้าเว็บของ McAfee เองไม่สามารถใช้ได้)
ข้อเสีย
-ปรับแต่งได้น้อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
-ให้เวลาใช้งานได้ฟรี 6 เดือนหลังจากที่ลงบนเครื่องโดยหลังจากนั้นต้องเสียเงินซื้อ
ท่านใดสนใจสามารถไปโหลดได้ที่ McAfee Internet Security 2017 ได้เลยครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

โปรแกรมฟรีตกแต่งภาพ

แนะนำ 12 โปรแกรมฟรีตกแต่งภาพน่าใช้งานไม่ต้องง้อ Photoshop

ถ้าเป็นโปรแกรมแต่งภาพหลาย ๆ ท่านก็คงจะนึกถึงโปรแกรมยอดฮิต Adobe Photoshop กันอย่างแน่นอนครับแต่นอกจาก Photoshop แล้วมันก็ยังมีโปรแกรมตกแต่งภาพอื่น ๆ ที่ทำได้ดีพอ ๆ กันด้วยครับดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำให้คุณผู้อ่านได้ดูกันว่ามันมีโปรแกรมแต่งรูปอะไรบ้างที่น่าใช้นอกเหนือจาก Photoshop กันบ้างแถมยังเป็นโปรแกรมใช้ฟรีอีกต่างหากด้วย
1.GIMP

เป็นโปรแกรม Open Source ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่า Photoshop เลยทีเดียวแต่มันมีดีกว่าก็ตรงเป็นของฟรีนี่แหละครับสามารถตัดต่อรูปปรับแต่งสีของภาพได้ตามใจชอบ มี Bug หรือข้อบกพร่องของโปรแกรมน้อยถึงน้อยมากและด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นฟรีโปรแกรมยอดฮิตจนถึงทุกวันนี้

2.Paint.NET

หน้าตาอาจจะดูคล้ายกับโปรแกรม Paint ในตำนานที่แถมมากับเครื่องแต่ Paint.NET จะมีฟีเจอร์การใช้งานที่เยอะกว่า/ดีกว่า/ละเอียดกว่าครับเรียกว่าทลายทุกข้อจำกัดของ Paint ธรรมดาก็ว่าได้และโปรแกรมนี้ก็พัฒนามาเพื่อระบบปฏิบัติการ Windows โดยดังนั้นใครที่ใช้ OS ตัวนี้ก็หมดห่วงเรื่องข้อผิดพลาดของโปรแกรมไปได้เลย

3.PhotoScape


นี่ก็เป็นโปรแกรมแต่งรูปฟรี ๆ ที่มีดีมากมายแต่จะเน้นในเรื่องของการจัดวางตำแหน่งรูปหรือทำภาพ GIF แต่ในส่วนของการแต่งสีปรับขนาดใส่ Text ตัวอักษรมันก็ทำได้ดีไม่แพ้กันมีหน้าตาใช้ง่ายเหมาะกับมือใหม่หัดแต่งรูปเพียบพร้อมไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกแม้ว่าจะไม่เท่า Photoshop แต่มันก็ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีเยี่ยมพอ ๆ กัน

4.Google Nik Collection

เป็นชุดโปรแกรมแต่งรูปฟรีจาก Google โดยภายในก็จะประกอบไปด้วยโปรแกรมแต่งรูปย่อยอีก 7 ส่วนด้วยกันได้แแก่ Analog Efex , Color Efex , Silver Efex , Dfine , Viveza , HDR Efex และ Sharpener ซึ่งทั้ง 7 ส่วนก็จะมีฟีเจอรืการใช้งานต่างกันของดีมีคุณภาพอย่างนี้ไม่โหลดมาไม่ได้แล้วครับ

5.Pixlr

มาถึงโปรแกรม Pixlr กันบ้างซึ่งโปรแกรมแต่งรูปนี้จะมีดีก็ตรงที่สามารถแต่งรูปบนเบราเซอร์ได้เลยไม่ต้องติดตั้งให้เสียเวลา หน้าต่างก็จะคล้ายกับ Photoshop ดังนั้นใครที่คุ้นเคยก็จะใช้โปรแกรมนี้ได้ไม่ยากเย็นนัก เป็นโปรแกรมที่เน้นความสะดวกสุด ๆ ขอแค่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถใช้ได้แล้ว
6.Fotor
ส่วน Fotor จะเป็นโปรแกรมที่เน้นการตกแต่งการรีทัชรูปภาพหรือทำภาพให้เนียนตาสวยงามมากขึ้นเป็นหลักครับ มีเมนูจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ในระดับสายตาทำให้การหยิบใช้เครื่องมือแต่ละตัวทำได้ง่ายไม่ต้องเสียเวลาหาพร้อมกับมีเส้น Curve บอกระดับแสงสีของภาพช่วยให้เราปรับแต่งรูปได้ง่ายขึ้นด้วยใครที่เน้นรีทัชภาพเป็นหลักต้องจัด Fotor ด่วนครับ

7.Vintager
แค่ชื่อก็พอจะบ่งบอกได้แล้วล่ะครับว่ามันเป็นโปรแกรมแต่งรูปแบบวินเทจสมัยเก่า ๆ เป็นหลักครับซึ่งจะมีฟิลเตอร์สุดเก๋าหลายแบบให้เลือกใช้หรือจะปรับแต่งเอาเองก็ย่อมได้อย่างการปรับแสง/เงา/สี ซึ่งการใช้โปรแกรมนี้จะทำให้รูปภาพปัจจุบันให้กลายเป็นภาพเก่าสุดวินเทจได้ภายในพริบตาเดียว
8.Sumo Paint

อีกโปรแกรมแต่งรูปแบบออนไลน์ที่จะเสกภาพของคุณให้สวยกิ๊งจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันทีกับความสะดวกสบายโดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมแต่ใช้งานผ่านเว็บเบราเซอร์ได้มีเครื่องมือแต่งภาพให้เสร็จสรรพพร้อมกับปุ่มลัดช่วยอำนวยความสะดวกและผู้ใช้งานสามารถวาดภาพลงไปได้เหมือนกับ Paint อีกด้วยสารพัดประโยชน์แบบนี้ต้องลองใช้สักครั้งในชีวิตล่ะครับ
9.IrfanView

IrfanView มีข้อดีตรงที่มันเป็นโปรแกรมขนาดเล็กแต่ทำงานได้รวดเร็ว ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งโทนสีของภาพได้ละเอียดไม่แพ้โปรแกรมยักษ์ใหญ่และมันยังรองรับฟิลเตอร์ของ Photoshop ได้ด้วยครับจัดว่าเป็นโปรแกรมจิ๋วจี๊ดเล็กพริกขี้หนูจริงๆ
10.On1 Effects 10 Free
เป็นโปรแกรมแต่งรูปขั้นเทพแต่ใช้งานง่ายดายมาก ๆ ให้อิสระการปรับแต่งสี , ความคมชัด , เอ็ฟเฟ็กต์ , ความสว่าง , แต่งภาพเฉพาะจุด ชนิดที่ว่าต่อให้คนที่ไม่เคยแต่งรูปมาก่อนก็สามารถแต่งรูปให้สวยได้ ของดีและฟรีต้องมีติดเครื่องไว้ครับ
11.iPiccy
เป็นเว็บแต่งรูปออนไลน์ที่ผู้ใช้งานสามารถตัด/หมุน/ปรับขนาด/เพิ่มแสง/ลดสี/ใส่เอ็ฟเฟ็กต์ได้หมดแต่จะเน้นการแต่งรู)บุุคลครับเพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนสีผมของตัวแบบได้รวมไปถึงมีสติ๊กเกอร์น่ารัก ๆ กรอบรูปเท่ ๆ ใส่เข้าไปเพิ่มได้ด้วยมันจึงเหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัยโดยแท้จริง
12.PicMonkey
โปรแกรมแต่งรูปผ่านเว็บเบราเซอร์ที่เหมาะสำหรับมือสมัครเล่นมาพร้อมกับหน้าตาการใช้งานที่ง่ายดูสะอาดตาสามารถตกแต่งภาพธรรมดาให้ดูดีพิเศษได้หรือจะลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากรูปโปรแกรมนี้ก็มีเครื่องมือจัดให้ได้เหมือนกันพ่วงด้วยเอ็ฟเฟ็กต์กับฟิลเตอร์มากมายให้เลือกใช้อีกใครที่เบื่อ ๆ Photoshop แล้ว Picmonkey ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจครับ

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา

ความหมายของวันมาฆบูชา
          คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3
การกำหนดวันมาฆบูชา
          การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม
ความสำคัญวันมาฆบูชาและประวัติวันมาฆบูชา
          ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
          ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อม ๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่
          1. วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
          2. มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
          3. พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6
          4. พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"
          และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ
          - จาตุร แปลว่า 4
          - องค์ แปลว่า ส่วน
          - สันนิบาต แปลว่า ประชุม
          ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง
          ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์
หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติในวันมาฆบูชา
          หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาฏิโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้
หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่
          1. การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)
          2. การทำกุศลให้ถึงพร้อม คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)
          3. การทำจิตใจให้ผ่องใส คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย
อุดมการณ์ 4 ได้แก่
          1. ความอดทน อดกลั้น คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ
          2. ความไม่เบียดเบียน คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือเบียดเบียนผู้อื่น
          3. ความสงบ ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
          4. นิพพาน ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
วิธีการ 6 ได้แก่
          1. ไม่ว่าร้าย คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร
          2. ไม่ทำร้าย คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น
          3. สำรวมในปาฏิโมกข์ คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม
          4. รู้จักประมาณ คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่าง ๆ
          5. อยู่ในสถานที่สงัด คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
          6. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี